เข้าใจความต่างระหว่าง
SSF RMF และ TESG
เปิดตัวออกมาได้ไม่นานสำหรับกองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่อย่าง TESG ซึ่งจะมีข้อแตกต่างกับ SSF และ RMF ที่มีให้บริการมาก่อนหน้านี้อย่างไร เราไปดูพร้อมกันเลยดีกว่าค่ะ
SSF RMF และ TESG คือ?
SSF (Super Saving Funds)
เป็นกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว ที่เริ่มให้บริการในปี 2563 ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของกองทุนนี้ คือผู้ที่ซื้อกองทุน SSF สามารถนำยอดซื้อมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อันเป็นกระบวนการที่ได้รับการอนุมัติจากทางรัฐบาล ให้ใช้ลดหย่อนแบบปีต่อปี ภายในระยะเวลา 2563-2567 โดยหลังจากนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของการคลัง
ลงทุนในส่วนไหนได้บ้าง
เนื่องจากเป็นรูปแบบการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูง ผู้สนใจจึงสามารถลงทุนในกองทุนที่ถือหลักทรัพย์ได้ทุกประเภทเลยค่ะ ไม่ว่าจะ กองทุนรวมผสม, ตราสารหนี้ หุ้นไทย หรือหุ้นต่างประเทศ ก็ตัดสินใจได้ตามสะดวก
RMF (Retirement Mutual Fund)
เป็นกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ เป็นกองทุนที่จัดตั้งมาเพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนชาวไทย มีเงินใช้เมื่อยามเกษียณผ่านการลงทุนแบบระยะยาว ภายใต้ข้อบังคับดังต่อไปนี้
- ลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี และต้องมีอายุครบ 55 ปี หากต้องการขายคืน
- กรณีที่ลงทุนไม่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปี จะถือว่าผิดเงื่อนไขทันที
ลงทุนในส่วนไหนได้บ้าง
RMF เองก็มีตัวเลือกกองทุนที่ไม่ด้อยไปกว่า SSF เช่นกันค่ะ ไล่ตั้งแต่ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หรือ หุ้นตราสารหนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเลือกลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศได้อีกด้วย
TESG (Thailand ESG Fund)
หรือเรียกอีกอย่างว่า กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนโดยจะมุ่งเน้นไปในด้านการพัฒนาองค์กรไม่หวังผลกำไร รวมถึงการสนับสนุน 3 ปัจจัยหลักได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งผู้ลงทุนในกลุ่มนี้ จะได้รับสิทธิ์ในการนำเงินลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ลงทุนในส่วนไหนได้บ้าง
อย่างที่กล่าวไปในก่อนหน้านี้ว่า TESG จะเน้นสนับสนุนองค์กรไม่แสวงผลกำไร และเกี่ยวข้องกับ 3 ปัจจัยหลักในแนวคิด ESG ดังนั้นนักลงทุนจึงจะสามารถลงทุนได้เฉพาะ กองทุน หุ้นไทยหรือตราสารหนี้ไทย ในกลุ่ม ESG อย่างเช่น ตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน ESG Bond หรือ หุ้นไทยยั่งยืน SET ESG Ratings เป็นต้นค่ะ
ความแตกต่างระหว่าง SSF RMF และ TESG
สามารถจำแนกได้ตามคุณสมบัติหลักดังต่อไปนี้
สินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้
SSF กับ RMF จะค่อนข้างเปิดกว้างในด้านการลงทุนมากกว่า เพราะรองรับการลงทุนในกองทุนที่หลากหลาย อีกทั้งยังไม่มีข้อจำกัดด้านการลงทุนทั้งในและต่างประเทศด้วย
ในขณะที่ TESG จะมีความเกี่ยวข้องด้านการสนับสนุนและพัฒนาองค์กรภายใน ที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของประเทศ ดังนั้นจึงสามารถลงทุนได้เฉพาะ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ของไทยที่เข้าหลักเกณฑ์ ESG เท่านั้นค่ะ
ระยะเวลาการลงทุน
ในส่วนนี้ SSF กับ TESG จะคล้ายกันตรงที่ไม่มีการบังคับซื้อทุกปี แต่จะต่างกันเพียงการถือลงทุนของ TESG จะใช้เวลาเพียง 8 ปี และ SSF ทั้งสิ้น 10 ปี นับจากวันซื้อ
ส่วน RMF ที่จัดทำขึ้นเพื่อชีวิตหลังเกษียณ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีข้อกำหนดมากกว่า โดยจะต้องถือยาวต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปี และต้องซื้อต่อเนื่องกันขั้นต่ำเป็นเวลา 5 ปีค่ะ
สิทธิประโยชน์ด้านภาษี
SSF จะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของรายได้ต่อปี และไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งหากรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท
RMF จะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของรายได้ต่อปี และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ส่วน TESG จะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของรายได้ต่อปี และไม่เกิน 100,000 บาท โดยไม่รวมอยู่ในส่วนของกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ 500,000 บาทค่ะ
แม้จะลดหย่อนภาษีในปริมาณเท่ากัน แต่รายละเอียดและคุณสมบัติเฉพาะตัว กลับทำให้ความเหมาะสมของแต่ละกองทุนมีความแตกต่างออกไป จะเห็นได้ชัดสุดก็คือระยะเวลาการลงทุน ดังนั้นผู้สนใจจึงควรไตร่ตรอง และศึกษาให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจด้วยนะคะ