วางแผนการเงินอย่างมืออาชีพ ด้วยแนวคิดแบบ ปิรามิด
กุญแจสู่ความสำเร็จมักเริ่มต้นด้วยการวางแผนเสมอ โดยทักษะวางแผนทางการเงิน ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรมี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักธุรกิจแต่ความสามารถนี้ก็จะช่วยให้คุณสร้างความมั่นคงในชีวิต พร้อมลดปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อความล้มเหลวด้านการบริหารเงินภายในชีวิตได้นั่นเองค่ะ
ปิรามิด สุดยอดเครื่องมือวางแผนทางการเงิน
ในวงการด้านการเงินนักวางแผนส่วนมากจะยึดหลักการวางแผนทางการเงินด้วย “ปิรามิดทางการเงิน” (Financial Planning Pyramid) ที่เรียงลำดับความสำคัญก่อนและหลัง โดยหัวข้อที่อยู่ข้างล่างสุด คือสิ่งที่ต้องกระทำเพื่อสร้างรากฐานอันมั่นคงเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงต่อยอดพัฒนาในเรื่องอื่น ๆ จนมีความแข็งแกร่ง
ขั้นที่ 1. บริหารรายรับรายจ่าย และ จัดการความเสี่ยง
การบริหารรายรับรายจ่าย ก็เปรียบได้เหมือนกับการสำรวจตนเองว่ามีความแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน โดยแบ่งออกเป็น ค่าใช้จ่ายจำเป็น ค่าใช้จ่ายเพื่อความสุข การเก็บเงินออมสำรองฉุกเฉิน การเก็บเงินเพื่อนำไปลงทุน และ หนี้สิน ซึ่งการเก็บเงินฉุกเฉินนั้นถือเป็นแผนรับมือปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดยควรเก็บให้ได้อย่างน้อย 3 – 6 เท่าของเงินเดือน และจะต้องเก็บในแหล่งที่มีสภาพคล่องสูง ไม่ติดขัดเวลาต้องการนำออกมาใช้
ขั้นที่ 2. สร้างเกราะป้องกันความเสี่ยง
นอกจากการเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินแล้ว การทำประกันก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรมีเผื่อไว้ เพื่อไม่ให้กระทบกับแผนการเงิน และสามารถตั้งรับปัญหาขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่มักมาในรูปแบบของ อุบัติเหตุ หรือ โรคร้าย รวมถึงอนาคตเมื่อต้องเกษียณจากการทำงาน และไม่ได้รับผลประโยชน์จากประกันกลุ่มอีกต่อไป ฉะนั้นการลงทุนกับประกันจึงเป็นเรื่องที่คุ้มค่าหากมันไม่เป็นภาระกับคุณมากจนเกินไป อีกทั้งยังมีประกันหลายตัวที่มีสิทธิประโยชน์ และเงื่อนไขอันยืดหยุ่น ทำให้สามารถเลือกในแบบที่เข้ากับเราได้
ขั้นที่ 3. เก็บออมเงินเพื่อการลงทุน
2 ขั้นตอนที่ผ่านมาจะเกี่ยวข้องกับการวางรากฐานที่แข็งแรงให้กับการเงินของตนเอง ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะสร้างอนาคตให้เป็นจริงแล้ว โดยควรเก็บออมแบบแบ่งเป้าหมายเป็น 3 ระดับได้แก่
1.เป้าหมายระยะสั้น
การเก็บเงินเตรียมใช้ในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า อย่างเช่น ใช้เป็นทุนการศึกษา ค่าเดินทางต่างประเทศ หรือ เก็บเงินซื้อรถ หากจะลงทุนในสินทรัพย์ก็ควรเป็นแบบที่มีความเสี่ยงต่ำ - ปานกลาง อาทิ กองทุนรวมตลาดเงิน หรือ บัญชีฝากประจำ
2.เป้าหมายระยะกลาง
เก็บเงินใช้ในระยะเวลา 3-7 ปีข้างหน้า อย่างการเก็บเงินเปิดกิจการ ซื้อบ้าน แต่งงาน และสร้างครอบครัว หากเป็นการลงทุน ควรลงทุนในระดับความเสี่ยงปานกลาง อย่างเช่น กองทุนรวมตราสารหนี้
3.เป้าหมายระยะยาว
เก็บเงินใช้ในระยะเวลา 7 ปีขึ้นไป โดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนสำหรับการเกษียณ และเพราะใช้เวลานาน ดังนั้นจึงเหมาะแก่การลงทุนกับ ประกันบำนาญ ทองคำ กองทุนรวมหุ้น หรือ อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ขั้นที่ 4.วางแผนภาษี
เพราะภาษีเป็นข้อบังคับที่ทุกคนต้องจ่ายตามกฎหมายกำหนด ดังนั้นเราจึงควรคำนึงถึงเรื่องนี้ให้ดีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมา โดยวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีด้วยกันดังต่อไปนี้
คำนวณเงินได้สุทธิ
รายได้ทั้งปี – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
เทียบอัตราภาษีแบบขั้นบันได
( เงินได้สุทธิ – เงินได้สุทธิสูงสุดของขั้นก่อนหน้า ) x อัตราภาษี + ภาษีขั้นบันไดก่อนหน้าสูงสุด = ภาษีที่ต้องจ่าย หรือได้คืน
นอกจากนี้ก็ยังมีช่องทางลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี ที่ได้รับการรับรองโดยรัฐบาลอีกมากมาย ทั้งเกิดจากการลงทุน หรือ การบริจาค ให้สามารถนำไปใช้ยื่นเพื่อรับสิทธิประโยชน์ได้อีกด้วย
ขั้นที่ 5.วางแผนส่งต่อมรดก
ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวางแผนทางการเงินที่แข็งแรง เพื่อส่งมอบโอกาสให้คนรุ่นหลังได้นำไปทำประโยชน์ต่อ ซึ่งเริ่มได้จากการสำรวจทรัพย์สมบัติที่ครอบครองอยู่ จากนั้นก็ทำพินัยกรรม และวางแผนเรื่องภาษีมรดก เพื่อไม่ให้สร้างผลกระทบต่อคนที่เรารักนั่นเองค่ะ
แน่นอนว่าทุกขั้นตอนที่เรากล่าวมา อาจไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าหากไม่มีทักษะความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการ การลงทุน และข้อกฎหมายทางด้านภาษี แต่ท่านสามารถเริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ใช้การศึกษาระหว่างทาง รวมถึงหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความซับซ้อนสูง ก็จะทำให้เส้นทางการวางแผนของคุณปลอดภัยและใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น หรืออาจจะใช้วิธีเข้ารับบริการให้คำปรึกษาวางแผนการเงิน พร้อมกับสอนวิธีใช้เครื่องมือวางแผนที่มีประสิทธิภาพ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่แนะนำเหมือนกันค่ะ